5 เทคนิคกู้บ้านให้ผ่านฉลุย

Mar 2, 2021 | คู่มือการซื้อ-ขาย

เทคนิคกู้บ้าน

การซื้อบ้านสักหลังหรือคอนโดสักห้องหนึ่งย่อมมาคู่กับการกู้สินเชื่อในการผ่อนบ้าน ซึ่งหลายคนก็ประสบปัญหา “กู้ไม่ผ่าน” จนหลายๆ คนที่มีแพลนกู้บ้านเริ่มจะกังวล ไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไรให้การกู้ธนาคารผ่านไปด้วยดีโดยเฉพาะคนทำงาน freelance หรื่ออาชีพอื่นๆที่มีรายได้ต่อเดือนไม่สม่ำเสมอ วันนี้ทาง madoobaan จึงนำเทคนิคการเตรียมตัวกู้บ้านดีๆให้ผ่านฉลุยมาให้ทุกคนดูกันค่ะ

1. วงเงินกู้และวงเงินผ่อนสมดุลกับรายได้

ปัจจัยแรกที่ต้องเตรียมตัวให้ดีเลยคือการคำนวณวงเงินกู้และวงเงินผ่อนให้สมดุลกับรายได้ ทรัพย์สินและความสามารถในการชำระหนี้ของเรา ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะให้กู้ขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 80% – 90% ของราคาประเมินอสังหาฯ ที่เราจะซื้อ โดยมักมีวงเงินสูงสุดไม่เกิน 3,000,000 บาทต่อหลักประกัน เช่น บ้านที่จะซื้อมีราคาประเมินอยู่ที่ 3 ล้านบาท ธนาคารให้กู้ได้ 90% หมายความว่าเราสามารถกู้ได้ 2.7 ล้านบาทนั่นเอง

ในส่วนของวงเงินผ่อนทางธนาคารจะพิจารณาให้อัตราการผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 50% ของรายได้ต่อเดือน ในที่นี้หมายถึงยอดรวมการผ่อนหนี้สินที่เราทั้งหมดที่เรามีแล้วนะคะ ซึ่งถ้ามีมีรายได้มากก็จะมีความสามารถในการผ่อนชำระมากขึ้นและสามารถซื้อทรัพย์สินในราคาที่สูงขึ้นได้ค่ะ เช่น ถ้าเราได้เงินเดือน 20,000 บาท วงเงินผ่อนของเราคือ 10,000 บาท หากเราผ่อนรถอยู่แล้ว 4,000 บาทต่อเดือน ธนาคารจะพิจารณาให้กู้บ้านที่มีวงเงินผ่อนไม่เกิน 6,000 บาทต่อเดือนนั่นเองค่ะ

2. ความสามารถในการชำหนี้

ต่อมาคือความมั่นคงของรายได้ของเรานั่นเองค่ะ หากเป็นพนักงานบริษัทหรือข้าราชการที่รับเงินเดือนสม่ำเสมอทุกเดือนโดยมีสลิปเงินเดือนเป็นหลักฐานก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสักเท่าไหร่เนื่องจากทางธนาคารจะมองว่าเรามีฐานเงินเดือนค่อนข้างมั่นคงพอที่จะชำระหนี้จนครบกำหนด แต่หากเราเป็นเจ้าของกิจการหรือรับงาน freelance ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะกู้ไม่ผ่านนะคะ เพียงแต่เราจะต้องวางแผนและเตรียม Statement หรือการเดินบัญชีของเราให้ดี Statement หรือสลิปรายได้ของเราต้องบ่งบอกได้ว่าเรามีกระแสเงินสด (Cash flow) เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ธนาคารจึงจะพิจารณาว่าเรามีความสามารถที่จะนำเงินมาคืนได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนั่นเองค่ะ

3. ประวัติทางการเงิน (Credit bureau)

ก่อนที่ธนาคารจะอนุมัติการขอสินเชื่อของเรา ธนาคารจะไปตรวจสอบประวัติทางการเงินหรือ Credit bureau ของผู้กู้ว่าผู้กู้เคยและกำลังกู้อะไรมาบ้างและมีหนี้ค้างชำระอะไรกับที่ไหนและเท่าไหร่บ้าง โดยส่วนใหญ่แล้วหากเราเคยผ่านการผ่อนรถหรือทรัพย์สินอื่นๆ จนครบตามกำหนดแล้วมาก่อนก็จะทำให้เรากู้ผ่านได้ง่ายขึ้นค่ะ ในทางกลับกันหากผู้กู้มีประวัติค้างชำระไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผู้กู้จะต้องไปปิดบัญชีเก่าเสียก่อนที่มีการยื่นขอสินเชื่อใหม่

4. มีหลักทรพย์ค้ำประกัน

อีกอย่างที่ธนาคารจะเช็คคือหลักทรัพย์ในการค้ำประกันไม่ว่าจะเป็นโฉนดที่ดินหรือบ้านที่นำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารจะทำการสำรวจราคาประเมินของทรัพย์สินเหล่านั้นร่วมกับรายได้และความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ต่างๆ มาประกอบกันว่าเหมาะสมกับวงเงินกู้ที่เราขอไปหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่นั้นการซื้อบ้านก็ควรมีบ้านเป็นหลักทรพย์ค้ำประกันนั่นเองค่ะ

5. ควรต้องมีเงินเก็บ เงินออมหรือหุ้น

ประการสุดท้ายที่หลายๆ คนอาจจะมองข้ามแต่ธนาคารไม่ได้มองข้าม ก็คือ การมีเงินเก็บ หรือเงินที่นอนอยู่นิ่งๆ อยู่ในธนาคารสักก้อนหนึ่ง หากมีเงินเข้ามาเท่าไหร่ก็ออกไปหมด เป็นอย่างนี้ธนาคารก็คงมีเสียวอยู่บ้างเหมือนกันเพราะธนาคารจะมองว่าเรามีเงินไม่พอกับการใช้จ่ายในแต่ละเดือนของตัวเองอยู่แล้ว ในส่วนนี้จะเปลี่ยนเงินเก็บเป็นหุ้นก็สามารถใช้ได้เหมือนกันนะคะ

เพียงเท่านี้ก็เหลือแค่การเตรียมเอกสารในการขอสินเชื่อให้พร้อมเท่านั้น คุณก็จะสามารถกู้ซื้อบ้านในฝันได้อย่างสบายๆ แล้วค่ะ รอธนาคารตรวจสอบเอกสารและประเมินทรัพย์สินต่างๆ ประมาณ 2-7 วัน หากเตรียมเทคนิคที่กล่าวไปให้พร้อมรับรองผลการขอสินเชื่อผ่านฉลุยแน่นอนค่ะ

Share This